ปี 1 เทอม 2 เรียน 7 วิชา วิชาละ 3 หน่วยกิต รวมเป็น 21 หน่วยกิต
แบ่งเป็นวิชาหลัก 5 วิชา และวิชาเลือก 2 วิชา (เหมือนตอนเทอม 1)

1.LINEAR ALGEBRA AND APPLICATIONS 1
หรือภาษาไทยว่า พีชคณิตเชิงเส้นและการประยุกต์ 1 [ เรียน 1 คาบ(3 ชม.)/สัปดาห์ ] วิชานี้ในหลักสูตรวิชาบอกว่า เรียนเกี่ยวกับ "การดำเนินของเมทริกซ์ ผกผันของเมทริกซ์ เมทริกซ์ย่อยและผลแบ่งส่วนเมทริกซ์ การดำเนินการมูลฐานและเมทริกซ์มูลฐาน ดีเทอร์มิแนนต์ ตัวประกอบร่วมเกี่ยว เมทริกซ์ ผูกพัน เมทริกซ์และรหัส ระบบของสมการเชิงเส้น กฎคราเมอร์ การกำจัดเกาส์เซียน การ กำจัดเกาส์-จอร์แดน การแยกแบบแอลยู ค่าลำดับชั้น ปริภูมิเวกเตอร์ ปริภูมิย่อย การ แปลงเชิงเส้น เคอร์เนล เรนจ์ ค่าลักษณะเฉพาะ เวกเตอร์ลักษณะเฉพาะ กระบวนการ ทแยงมุม การประยุกต์ของพีชคณิตเชิงเส้นสู่ปัญหาจริง" ซึ่งส่วนมากที่ได้เรียนก็เกี่ยวกับเมทริกซ์ การประยุกต์เมทริกซ์ อะไรทำนองนี้
การสอบแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ มิดเทอม หลังมิดเทอม และไฟนอล เพราะเนื้อหาค่อนข้างเยอะ เทคนิคนู้นนี่ วิธีโน้นนั่น เยอะแยะไปหมด
หรือภาษาไทยว่า พีชคณิตเชิงเส้นและการประยุกต์ 1 [ เรียน 1 คาบ(3 ชม.)/สัปดาห์ ] วิชานี้ในหลักสูตรวิชาบอกว่า เรียนเกี่ยวกับ "การดำเนินของเมทริกซ์ ผกผันของเมทริกซ์ เมทริกซ์ย่อยและผลแบ่งส่วนเมทริกซ์ การดำเนินการมูลฐานและเมทริกซ์มูลฐาน ดีเทอร์มิแนนต์ ตัวประกอบร่วมเกี่ยว เมทริกซ์ ผูกพัน เมทริกซ์และรหัส ระบบของสมการเชิงเส้น กฎคราเมอร์ การกำจัดเกาส์เซียน การ กำจัดเกาส์-จอร์แดน การแยกแบบแอลยู ค่าลำดับชั้น ปริภูมิเวกเตอร์ ปริภูมิย่อย การ แปลงเชิงเส้น เคอร์เนล เรนจ์ ค่าลักษณะเฉพาะ เวกเตอร์ลักษณะเฉพาะ กระบวนการ ทแยงมุม การประยุกต์ของพีชคณิตเชิงเส้นสู่ปัญหาจริง" ซึ่งส่วนมากที่ได้เรียนก็เกี่ยวกับเมทริกซ์ การประยุกต์เมทริกซ์ อะไรทำนองนี้
การสอบแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ มิดเทอม หลังมิดเทอม และไฟนอล เพราะเนื้อหาค่อนข้างเยอะ เทคนิคนู้นนี่ วิธีโน้นนั่น เยอะแยะไปหมด

2.PROBABILITY
วิชาความน่าจะเป็นนั่นเอง [ เรียน 1 คาบ(3 ชม.)/สัปดาห์ ] ความจริงแล้วเราได้เรียนความน่าจะเป็นคร่าวๆ มาจากวิชาสถิติพื้นฐานแล้ว แต่นั่นเป็นการสอนพื้นๆ พอมาถึงวิชานี้ก็จะเป็นการลงลึกเข้าไปอีก(งงเข้าไปอีก) แต่ถ้าใครเก่งสถิติ หรือพอทำได้แล้ว มาเจอวิชานี้ก็จะไปได้เร็ว แต่วิชาพวกนี้เรียนในห้องอย่างเดียว ไม่เข้าใจแน่ๆ ต้องกลับมาอ่านเอง ทบทวน ทดลองทำตามดู
แต่ขอบอกว่าเนื้อหาก็เยอะพอๆ กับสถิติ แต่อันนี้จะน้อยกว่านิดนึง เพราะมันเรียนเรื่องเดียวไง แต่เนื้อหาย่อยๆ อีกเพียบ สูตรเยอะมากๆๆๆ (แต่ข้อสอบง่ายแฮะ ^0^) มีคะแนนงานให้ด้วยนะ 10 คะแนน
วิชาความน่าจะเป็นนั่นเอง [ เรียน 1 คาบ(3 ชม.)/สัปดาห์ ] ความจริงแล้วเราได้เรียนความน่าจะเป็นคร่าวๆ มาจากวิชาสถิติพื้นฐานแล้ว แต่นั่นเป็นการสอนพื้นๆ พอมาถึงวิชานี้ก็จะเป็นการลงลึกเข้าไปอีก(งงเข้าไปอีก) แต่ถ้าใครเก่งสถิติ หรือพอทำได้แล้ว มาเจอวิชานี้ก็จะไปได้เร็ว แต่วิชาพวกนี้เรียนในห้องอย่างเดียว ไม่เข้าใจแน่ๆ ต้องกลับมาอ่านเอง ทบทวน ทดลองทำตามดู
แต่ขอบอกว่าเนื้อหาก็เยอะพอๆ กับสถิติ แต่อันนี้จะน้อยกว่านิดนึง เพราะมันเรียนเรื่องเดียวไง แต่เนื้อหาย่อยๆ อีกเพียบ สูตรเยอะมากๆๆๆ (แต่ข้อสอบง่ายแฮะ ^0^) มีคะแนนงานให้ด้วยนะ 10 คะแนน
3.DISCRETE MATHEMATICS
วิชาคณิตศาสตร์ดิสคีส (อะไรกันเนี้ย เกิดมาไม่เคยได้ยิน ??) [ เรียน 1 คาบ(3 ชม.)/สัปดาห์ ] ที่ได้เรียนก็จะมีหลายเรื่องปนๆ กัน อย่างเช่น เซต การเลือก การจัดหมู่ เลขฐาน เมทริกซ์ คือประมาณว่าเอาวิชาที่เคยเรียนมาแล้วตอนมัธยมมาให้เรียนทบทวนอีก แล้วก็ให้ฝึกคิดวิเคราะห์ ว่าวิธีนี้มาได้ยังไง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ อะไรแบบนี้เป็นต้น
แล้วก็มีเรื่องใหม่ให้เรียนด้วย เช่น ไฟไนต์ ออโตมาต้า (เกี่ยวกับกระบวนการทำงานของสิ่งต่างๆ ที่เราจะต้องวิเคราะห์การทำงานออกมาเป็นขั้นตอน)
ข้อสอบก็ข้อเขียนล้วนนะ มีห้คิดวิเคราะห์หลายข้อเลย ประมาณ 8 ข้อ แต่คะแนนเยอะมากกก
วิชาคณิตศาสตร์ดิสคีส (อะไรกันเนี้ย เกิดมาไม่เคยได้ยิน ??) [ เรียน 1 คาบ(3 ชม.)/สัปดาห์ ] ที่ได้เรียนก็จะมีหลายเรื่องปนๆ กัน อย่างเช่น เซต การเลือก การจัดหมู่ เลขฐาน เมทริกซ์ คือประมาณว่าเอาวิชาที่เคยเรียนมาแล้วตอนมัธยมมาให้เรียนทบทวนอีก แล้วก็ให้ฝึกคิดวิเคราะห์ ว่าวิธีนี้มาได้ยังไง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ อะไรแบบนี้เป็นต้น
แล้วก็มีเรื่องใหม่ให้เรียนด้วย เช่น ไฟไนต์ ออโตมาต้า (เกี่ยวกับกระบวนการทำงานของสิ่งต่างๆ ที่เราจะต้องวิเคราะห์การทำงานออกมาเป็นขั้นตอน)
ข้อสอบก็ข้อเขียนล้วนนะ มีห้คิดวิเคราะห์หลายข้อเลย ประมาณ 8 ข้อ แต่คะแนนเยอะมากกก
4.OBJECT-ORIENTED PROGRAMMING
วิชาเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ หรือเรียกสั้นๆติดปากว่า ออปเจ็ค [ เรียนทฤษฎี 1 คาบ(2 ชม.) ต่อด้วย ปฏิบัติ(Lab) อีก 1 คาบ(2 ชม.) /สัปดาห์ ] เป็นวิชาภาคต่อของ Programming Fundamentals (ต้องเรียนวิชานี้ก่อน จึงจะเรียน OBJECT-ORIENTED PROGRAMMING ได้) วิชานี้ก็เป็นวิชาที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ เพราะมันเป็นวิชาที่ตรงสายเราที่สุด จะเรียนคล้ายๆ โปรแกรมมิ่งพื้นฐานนั่นแหละ แต่จะซับซ้อนขึ้นไปอีก คือ ต้องเขียนโปรแกรมแยกออกมาเป็นเมดธอด แล้วเอามารวมกัน คือมีโปรแกรมหลักหนึ่งโปรแกรม แล้วมีโปรแกรมย่อยๆ ที่ใช้ทำงานเฉพาะอย่าง จากนั้น ก็เอาโปรแกรมย่อยๆ มาประกอบกันเป็นโปรแกรมใหญ่ที่สมบูรณ์อีกที
ข้อสอบคล้ายๆ กับโปรแกรมมิ่งพื้นฐาน มีทั้งเติมคำและเขียนโปรแกรม ข้อเขียนโปรแกรมก็จะคะแนนเยอะหน่อย แต่ก็จะยาววววว ประมาณ 4 หน้าแน่ะ คะแนนทั้งหมด มิดเทอม 40 คะแนน ไฟนอลอีก 60 คะแนน ไม่มีคะแนนงานจ้าาา
วิชาเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ หรือเรียกสั้นๆติดปากว่า ออปเจ็ค [ เรียนทฤษฎี 1 คาบ(2 ชม.) ต่อด้วย ปฏิบัติ(Lab) อีก 1 คาบ(2 ชม.) /สัปดาห์ ] เป็นวิชาภาคต่อของ Programming Fundamentals (ต้องเรียนวิชานี้ก่อน จึงจะเรียน OBJECT-ORIENTED PROGRAMMING ได้) วิชานี้ก็เป็นวิชาที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ เพราะมันเป็นวิชาที่ตรงสายเราที่สุด จะเรียนคล้ายๆ โปรแกรมมิ่งพื้นฐานนั่นแหละ แต่จะซับซ้อนขึ้นไปอีก คือ ต้องเขียนโปรแกรมแยกออกมาเป็นเมดธอด แล้วเอามารวมกัน คือมีโปรแกรมหลักหนึ่งโปรแกรม แล้วมีโปรแกรมย่อยๆ ที่ใช้ทำงานเฉพาะอย่าง จากนั้น ก็เอาโปรแกรมย่อยๆ มาประกอบกันเป็นโปรแกรมใหญ่ที่สมบูรณ์อีกที
ข้อสอบคล้ายๆ กับโปรแกรมมิ่งพื้นฐาน มีทั้งเติมคำและเขียนโปรแกรม ข้อเขียนโปรแกรมก็จะคะแนนเยอะหน่อย แต่ก็จะยาววววว ประมาณ 4 หน้าแน่ะ คะแนนทั้งหมด มิดเทอม 40 คะแนน ไฟนอลอีก 60 คะแนน ไม่มีคะแนนงานจ้าาา

5.Foundation English 2
วิชาอังกฤษพื้นฐาน 1 [เรียน 1 คาบ(3 ชม.)/สัปดาห์ ] จะเรียนเหมือน Foundation English 1 เลย แต่ก็เพิ่มเนื้อหามาอีก แต่ก็คล้ายๆ ตอน ม.ปลาย อยู่ดี ข้อสอบมี 3 part คือ Grammar Vocab และ Reading ซึ่งส่วนที่ยากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น Reading เพราะเป็น Unseen Reading(บทความที่ไม่เคยเห็นมาก่อน)
ขอบอกเลยว่า Eng 2 ง่ายกว่า Eng 1 อีก อาจเป็นเพราะเนื้อหาเป็นเรื่องที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวันก็ได้
วิชาอังกฤษพื้นฐาน 1 [เรียน 1 คาบ(3 ชม.)/สัปดาห์ ] จะเรียนเหมือน Foundation English 1 เลย แต่ก็เพิ่มเนื้อหามาอีก แต่ก็คล้ายๆ ตอน ม.ปลาย อยู่ดี ข้อสอบมี 3 part คือ Grammar Vocab และ Reading ซึ่งส่วนที่ยากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น Reading เพราะเป็น Unseen Reading(บทความที่ไม่เคยเห็นมาก่อน)
ขอบอกเลยว่า Eng 2 ง่ายกว่า Eng 1 อีก อาจเป็นเพราะเนื้อหาเป็นเรื่องที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวันก็ได้
อีกสองวิชาเป็นวิชาเลือก
วิชาเลือกวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
6.COMPUTERS AND PROGRAMMING
วิชาคอมพิวเตอร์และการโปรแกรม [เรียน 1 คาบ(4 ชม.)/สัปดาห์ ] แบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 เทอม คือ เทอมแรก จะเรียนเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และ IT ก็ประมาณว่า คอมพิวเตอร์มีกี่แบบ มีอุปกรณ์อะไรบ้าง อินเตอร์เน็ตมีส่วนประกอบอะไร บลาๆๆๆ เหมือนเรียน computer science ตอนเทอม 1 เลย แต่ง่ายกว่ามากๆๆๆ ส่วนเทอม 2 เรียนเขียนโปรแกรมภาษาซี ก็เรียนตั้งแต่ประกาศตัวแปร ไปจนถึง loop (ไม่ลงลึกเท่าไหร่ เพราะเป็นวิชาเลือก)
ข้อสอบเป็นปรนัยหมดเลย (สบายแฮ)
วิชาคอมพิวเตอร์และการโปรแกรม [เรียน 1 คาบ(4 ชม.)/สัปดาห์ ] แบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 เทอม คือ เทอมแรก จะเรียนเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และ IT ก็ประมาณว่า คอมพิวเตอร์มีกี่แบบ มีอุปกรณ์อะไรบ้าง อินเตอร์เน็ตมีส่วนประกอบอะไร บลาๆๆๆ เหมือนเรียน computer science ตอนเทอม 1 เลย แต่ง่ายกว่ามากๆๆๆ ส่วนเทอม 2 เรียนเขียนโปรแกรมภาษาซี ก็เรียนตั้งแต่ประกาศตัวแปร ไปจนถึง loop (ไม่ลงลึกเท่าไหร่ เพราะเป็นวิชาเลือก)
ข้อสอบเป็นปรนัยหมดเลย (สบายแฮ)
วิชาเลือกสังคมศาสตร์

7.CONTEMPORARY THAI ECONOMY
วิชาเศรษฐกิจไทย [เรียน 1 คาบ(3 ชม.)/สัปดาห์ ] คำโปรยรายวิชา "ศึกษาโครงสร้างสังคมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง กฎหมาย ศาสนา วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและประเด็นอื่นๆ รวมทั้งเรื่องปัญหาของ สังคมไทยและการศึกษาดูงานนอกสถานที่ในเรื่องที่เกี่ยวข้อง"
ความจริงแล้วก็เรียนแค่ เศรษฐศาสตร์ ไม่มีการเมือง ศาสนา เลย ก็เรียนพวก Demand Supply กราฟนู้นนี้เยอะไปหมด ความต้องการผู้บริโภค ต่างๆนาๆ เนื้อหาค่อนข้างเยอะ
ข้อสอบเป็นปรนัยล้วน เนื้อหาออกตามที่เรียนเลยครับ
วิชาเศรษฐกิจไทย [เรียน 1 คาบ(3 ชม.)/สัปดาห์ ] คำโปรยรายวิชา "ศึกษาโครงสร้างสังคมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง กฎหมาย ศาสนา วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและประเด็นอื่นๆ รวมทั้งเรื่องปัญหาของ สังคมไทยและการศึกษาดูงานนอกสถานที่ในเรื่องที่เกี่ยวข้อง"
ความจริงแล้วก็เรียนแค่ เศรษฐศาสตร์ ไม่มีการเมือง ศาสนา เลย ก็เรียนพวก Demand Supply กราฟนู้นนี้เยอะไปหมด ความต้องการผู้บริโภค ต่างๆนาๆ เนื้อหาค่อนข้างเยอะ
ข้อสอบเป็นปรนัยล้วน เนื้อหาออกตามที่เรียนเลยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น